หน้าแรก / บล็อก / ความรู้เกี่ยวกับล้อแม็กซ์ (ล้ออัลลอยด์) / DRIFT STYLE
''รถดริฟท์'' หลายคนได้ยินคำนี้จนเริ่มชินหู แต่บางคนอาจไม่ทราบว่ากว่าที่รถ 1 คัน จะดริฟท์ได้สวยงามไม่ใช่เรื่องง่าย และต้องปรับแต่งให้ถูกตามกฎระเบียบของผู้จัดการแข่งแต่ละรายการ เพื่อความปลอดภัยทั้งตัวนักแข่ง และผู้ชม บางคันพื้นฐานรถดีเป็นทุนเดิมก็อาจดัดแปลงไม่มากนัก ใช้งบประมาณไม่สูง แต่เชื่อเถอะว่า “รถดริฟท์” ที่เห็นในสนามแข่งแต่ละคัน เมื่อ บวก ลบ คูณ หาร มีการลงทุนในการโมดิฟายรถให้พร้อมสู้ศึกในทุกสนามอยู่ในหลักล้านบาท
หลายๆ คนถึงกับอ้าปากค้างเมื่อได้รู้ตัวเลขคร่าวๆ ในการลงทุนเพื่อความสำเร็จในแต่ล่ะสนาม แต่ถ้าถามว่า ''เลข 7 หลัก แพงไปไหม'' ในการเป็นจริงแล้วการตกแต่งโมดิฟายบางคันก็อาจไม่ถึง 7 หลัก เพราะขึ้นอยู่กับการเลือกรถพื้นฐานมาใช้ เช่น ราคารถที่นำมาใช้โมดิฟายตกอยู่ที่ 100,000-200,000 บาท ตกแต่งเพิ่มเติมอีก 400,000-500,000 รวมกันไม่ถึง 1,000,000 บาท แต่มูลค่าของรถดริฟท์ที่จะทยานสูงขึ้น เนื่องจากการซ้อมที่ต้องผิดพลาดฟาดกำแพงบ้าง จึงต้องซ่อมสีกันชน หรือตัวถังหลายรอบ ซึ่งจากรถราคา 100,000 บาทต้นๆ เบ็ดเสร็จกว่าจะแข่งอย่างจริงจังลงทุนเกือบ 1,000,000 บาท หรือมากกว่านั้นก็มีหลายคัน
ประเด็นสำคัญคือ ต้องให้สุด! ให้สวยสะดุดตาตาโดนใจเหล่าสปอนเซอร์ เพื่อช่วยให้การแข่งตลอดปีประหยัดเงินในกระเป๋า นักดริฟท์หลายคนมักนำรถสปอร์ต ของตัวเองมารถดริฟท์ และรถดริฟท์ส่วนใหญ่ล้วนใช้ระบบขับเคลื่อนล้อหลัง ต่างจากรถบนถนนที่นิยมใช้ระบบขับเคลื่อนล้อหน้าเพราะควบคุมง่าย
แต่เหตุผลที่รถดริฟท์ต้องเป็นระบบขับเคลื่อนล้อหลัง เนื่องจากรถต้องเกิดอาการโอเวอร์สเตียร์-ท้ายปัดตลอดเวลา และรถขับเคลื่อนล้อหลังเมื่อเกิดอาการนี้จะควบคุมทิศทางได้ง่ายกว่า
พร้อมสามารถขับ ดริฟท์ให้สมูท และเกิดควันยางได้มาก เพราะการขับเคลื่อนอยู่ที่ล้อหลังยางซึ่งบดกับพื้นแทร็กจึงเกิดเป็นควัน และทำให้การชมเร้าใจมากขึ้น
ส่วนรถประเภทขับเคลื่อน 4 ล้อ ก็เช่นกัน ด้วยสาเหตุที่อธิบายมาจึงไม่ใช่ตัวเลือกสำหรับการดริฟท์ แต่มีคนดัดแปลงจนใช้แข่งได้
กฎการแข่งแต่ละรายการไม่เหมือนกัน ซึ่งการแข่งขันแต่ละรายการจะเน้นความปลอดภัยของนักแข่ง และผู้ชมเป็นหลัก รถแข่งจึงต้องปรับแต่งให้ถูกต้องตามกฎ ทั้งภายนอก และภายในห้องโดยสารเพื่อความปลอดภัยของรถแข่งทุกคัน
สำหรับภายนอก หรือตัวถังนอกจากหน้าตาที่สวยงาม และลวดลายการติดสติกเกอร์อันแตกต่างของแต่ละคัน ความปลอดภัยก็ยังต้องเซตอัพอย่างครบครัน เช่น ซุ้มล้อ หรือบังโคลน หากรถคันใดล้อแม็กยื่นล้นตัวถังต้องทำซุ้มล้อปิดให้มิดชิด เพื่อกันเศษยางหรือเศษชิ้นส่วนต่างๆ ที่อาจหล่นร่วงกระเด็นโดนผู้ชม และทุกชิ้นส่วนต้องยึดนอตให้แน่นหนา
กระจกหากเปลี่ยนเป็นอะครีลิกต้องติดฟิล์มเพื่อป้องกันเศษที่แตก และอาจกระเด็นเมื่อเกิดอุบัติเหตุ กระจกหลังหากเปลี่ยนเป็นอะครีลิกต้องคาดเส้นโลหะด้านนอกกับตัวถังรถ เพื่อป้องกันการหลุดของแผ่นอะครีลิกพร้อมเจาะรูเพื่อระบายแรงดันอากาศ และระบายควันยางภายในห้องโดยสารด้วย
สำหรับภายในห้องโดยสารเป็นสิ่งที่กำหนดกฎเกณฑ์ เพื่อป้องกันอันตรายกับนักแข่งจึงต้องติดตั้งโรลบาร์ให้แน่นหนา โดยยึดนอตหรือเชื่อมติด และด้านข้างต้องสูงกว่าพื้นเบาะ 10 ซม. เพื่อป้องกันซี่โครงของนักแข่งหากเกิดการกระแทกด้านข้าง เบาะนั่งต้องมี 2 ฝั่ง เซฟตี้เบลท์ครบ และต้องผ่านมาตรฐานเอฟไอเอ ตามกฎความปลอดภัยที่หลายรายการแข่งรถระดับโลกใช้ (FIA Foundation For The Automobile and Society)
แดชบอร์ดหน้า หรือคอนโซลหน้าต้องมี แต่เป็นวัสดุคาร์บอนฯ หรือไฟเบอร์กลาสเพื่อลดน้ำหนักได้ ทุกอุปกรณ์ต้องยึดแน่นหนา ถังดับเพลิงต้องอยู่ในตำแหน่งที่นักแข่งหยิบใช้งานได้ง่าย ด้านหลังต้องทำแผ่นปิดระหว่างห้องโดยสารกับห้องเก็บสัมภาระให้มิดชิด และเรียบร้อย เพื่อป้องกันหากเกิดเพลิงไหม้เปลวไฟจากท้ายรถจะได้ไม่แล่บเข้ามา
นอกจากวัสดุอุปกรณ์การตกแต่งภายนอก และภายใน ที่มีคุณสมบัติเน้นให้มีน้ำหนักเบา แต่เปี่ยมไปด้วยความแข่งแกร่ง สามารถเสริมความปลอดภัยให้กับนักขับได้อย่างสมบูรณ์แบบ “ล้อแม็ก” ก็เป็นอีกหนึ่งชิ้นส่วนสำคัญต่อการแข่งขัน “ดริฟท์ ซึ่ง ล้อแม็ก ที่ทีมแข่งให้ความสำคัญเป็นพิเศษ
เนื่องจากส่วนล้อเป็นส่วนที่ช่วยขับเคลื่อนให้ทีมไปสู่ชัยชนะ ซึ่ง ล้อแม็ก ที่ใช้ในการแข่งขันต้องสามารถตอบสนองความต้องการของนักขับได้เป็นอย่างดี ผนวกกับสมรรถนะที่คงทนแข็งแกร่งต่อทุกสภาวะถนน เต็มสปีดด้วยน้ำหนักที่เบากว่าล้อทั่วไปถึง 30% ที่ได้จากการนำเทคโนโลยีการผลิตรูปแบบ “โฟล ฟอร์ม มิ่ง” มาผลิตล้อแม็ก ทำให้ตอบโจทย์ความต้องการนักขับได้เป็นอย่างดี
สำหรับเทคโนโลยีนี้มีชื่อว่า flow forming alloy wheels process หรือเรียกกันสั้นๆว่า โฟล์วฟอร์มิ่งคือการใช้เทคนิครีดขึ้นรูป ผสมเข้ากับกระบวนการผลิตแบบหล่อ โดยเริ่มต้นจากการขึ้นรูปหน้าลายล้อแม็กตามปกติ และต่อจากนั้นจะดำเนินการ ปั่นและรีดขอบผนังล้อ เพื่อให้เกิดการไหลขึ้นรูป ออกตามแนวความลึกของล้อ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีพิเศษที่อาศัยความดัน // ความร้อน // และการปั่นรีด ช่วยให้ขอบของล้อมีการเรียงตัวของเกรนโลหะที่เป็นระเบียบ เสมือนล้อที่ได้จากเทคนิคการอัดกระแทกด้วยแรงดันสูง ซึ่งจะทำให้เกิดความแข็งแรงมากเป็นพิเศษ จึงสามารถทำให้ผนังบางได้มากกว่าการหล่อแบบปกติ ทำให้เกิดความเบา และทำให้โอกาสที่ล้อจะเกิดการแตกหักมีเปอร์เซ็นต์ที่น้อยลงมากเลยทีเดียว
ในปัจจุบัน ทางบริษัท เลนโซ่ วีล จำกัด เจ้าผลิตภัณฑ์ล้อแม็กแบรนด์ระดับโลก อย่าง LENSO ก็เป็นอีกหนึ่ง ในบริษัท ชั้นนำของโลก ที่เลือกใช้เทคนิค “โฟล์วฟอร์มิ่ง” ในการผลิตล้อแม็ก ซึ่งตอบรับกระแสของความต้องการในตลาดทั้งใน และต่างประเทศที่ต้องการล้อแม็ก ที่ได้คุณสมบัติทั้งความเบา และคุณภาพที่สำคัญ ยังเป็นการลดภาระของช่วงล่างรถยนต์ ทำให้ การขับขี่เป็นไปได้นุ่มนวล และตอบสนองฉับไวได้อย่างที่ต้องการ ทั้งนี้หากสนใจในรายละเอียดหรือ ข้อมูลเพิ่มเติม สามารถสอบถามไปได้ที่ http://www.facebook.com/lensowheels
#ล้อแม๊ก #ล้อแม๊กซ์ #ล้อแม็ก #ล้อแม๊กซ์ #แม๊ก #แม็ก
Copyright 2012 www.lensowheel.co.th ล้อแม็กเลนโซ่ ล้อแม็กซ์ยอดขายดีอันดับ 1 ของประเทศไทย All rights reserved